จัดคริสตมาสให้คนต่างศาสนา
พบกันอีกแล้วกับคอลัมภ์สาระดี ในช่วงปิดเทอมคริสตมาสที่ผ่านมา ผมเข้าใจว่าทุกท่านได้มีโอกาสฉลองคริสตมาสกันอย่างมีความสุข ไม่ว่าในเมืองหรือบนดอย
ในฐานะเป็นพระสงฆ์นอกจากไปฉลองคริสตมาสแล้ว ยังต้องทำหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมด้วย หลายปีที่ผ่านมาผมไม่ได้มีวัดอยู่เหมือนพระสงฆ์อื่น ฉะนั้นช่วงเวลาเทศกาลต่าง ๆ ผมสามารถเลือกที่จะไปที่ไหนก็ได้ สองปีที่ผ่านมาผมเลือกไปทำคริสตมาสที่เขตวัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน (อยู่ในเมืองจริง ๆ ใกล้กับศาลากลางเลย) และผมเลือกที่จะไปวัดสาขาที่อยู่ห่างไปขับรถประมาณ
1 ชั่งโมงคือ บ้านมะเขือส้ม เพราะบรรยากาศดีมาก อากาศหนาวเย็นและมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวมากด้วยในช่วงเวลาดังกล่าว และบริเวณใกล้เคียงก็มีที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระตำหนักปางตอง โครงการพระราชดำริบ้านปางอุ๋ง หมู่บ้านรักไทย ฯลฯ เพราะก่อนหรือหลังงานสามารถเที่ยวต่อได้
แต่ปีนี้ใจจริงผมไม่อยากไปที่นั่นแล้ว
ในขณะที่กำลังรอตัดสินใจอยู่นั้น
คุณพ่อเจ้าวัด วัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ (คนใหม่) ได้โทรศัพท์มาเชิญผมไปทำคริสตมาสในเขตอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้คุณพ่อบอกว่าจะให้ไปที่ใหม่
เป็นเขตพื้นที่พี่น้องชาวปกาเกอะญอ คือ บ้านห้วยขมิ้น ผมตอบตกลงทันที เพราะที่นี่ผมยังไม่เคยไปมาก่อน
เป็นหมู่บ้านคริสตชนที่พึ่งกลับใจได้ไม่นาน เมื่อรู้เป้าหมายแล้ว ผมก็เตรียมตัวโดยทาบทามคุณพ่อจีรภัทร ซิสเตอร์แม่ปอน และน้องจากซีซี สุดท้ายได้สมาชิกมา 5 คน เมื่อถึงเวลากำหนด ผมออกเดินทางจากกรุงเทพไปค้างที่เชียงใหม่ 1
คืน ขับจากเชียใหม่ไปค้างที่แม่ฮ่องสอน
อีก 1 คืน (ที่จริงแม่ฮ่องสอน –
เชียงใหม่วัดด้วยกิโลเมตรดูเหมือนจะใกล้
เพราะระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร
แต่ด้วยโค้ง 1,864 โค้งนี่เองทำให้การเดินทางต้องใช้เวลาเกือบจะทั้งวัน)
หนึ่งคืนที่แม่ฮ่องสอน ผมและสมาชิกก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศแม่ฮ่องสอนในยามค่ำคืน มีถนนคนเดิน (ที่นี่มีทุกคืนตลอดปี) บรรยากาศสงบ
พูดคุยกันเป็นมิตร ไม่จอแจ เหมือนที่เชียงใหม่หรือกรุงเทพ ทำให้การเดินเที่ยวเป็นแบบสบาย
เช้าวันที่ 24
ธันวาคม
ผมต้องขับรถจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไปหมู่บ้านห้วยขมิ้นอีก 2
ชั่วโมงครึ่ง แถมรถธรรมดาใช้ไม่ได้อีก ต้องรถโฟร์วีลเท่านั้น (นี่ขนาดอยู่ในเขตอำเภอเมืองนะครับ) ก่อนเดินทางต้องเตรียมสัมภาระให้พร้อม เพราะเมื่อขึ้นไปแล้วก็ไม่มีใครอยากจะกลับลงมาทันที เมื่อของทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็เช็คดูว่าจะมีคนไปอีกกี่คน จากตอนแรกที่มีพวกเรา 5 คนบวกกับเยาวชนอีก 5
คนเป็น 10 คน
แต่เช้าวันนั้นยังมีคนอยากไปเพิ่มอีก 5 คน
จากตอนแรกที่คิดว่าจะอารถไปคันเดียว
จึงตัดสินใจเอารถไปเพิ่มอีกคัน
เพราะแค่สัมภาระเกือบจะเต็มรถแล้ว
ยิ่งได้ยินว่าอากาศหนาวมากแต่ละคนไม่ยอมน้อยหน้ากัน เตรียมกันมาแบบถึงหนาวติดศูนย์ก็ไม่กลัว ฉะนั้นคุณพ่อจีรภัทรเลยต้องไปเป็นโชเฟอร์รถอีกคันหนึ่งด้วยความจำเป็น
การเดินทางเริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ
10.30 น. ช่วงแรกวิ่งบนถนนใหญ่ประมาณ 42 ก.ม
จากนั้นถึงเวลาต้องแข่งแรลลี่แล้ว
เนื่องจากว่าไม่มีใครเคยไปมาก่อนจึงไม่มีรู้เส้นทาง ชาวบ้านจึงส่งคนมานำเราโดยมีรถมอเตอร์ไชค์เป็นพาหนะ ด้วยความชำนาญเส้นทางผู้นำทางจึงทิ้งผู้ตามอย่างไม่เห็นฝุ่น
แต่สองคันที่ตามกันมานั้นวิ่งกันฝุ่นตลบ บางช่วงมองไม่เห็นทาง จึงต้องทิ้งระยะห่างพอสมควร จากช่วงแรกผมวิ่งข้างหน้า แต่พอเห็นมีฝุ่นเยอะ ผมหลีกทางให้คุณพ่อจีรภัทรวิ่งข้างหน้าแทน เพราะรถผมทุกคนนั่งในแคป ส่วนรถคุณพ่อจีรภัทรนั้น มีน้อง ๆ
เยาวชนส่วนหนึ่งอยู่กระบะหลัง ถ้าผมวิ่งข้างหน้าคนที่วิ่งตามหลังจะได้กินฝุ่นกันตลอดทาง
และการขับรถในช่วงนี้ก็ต้องอาศัยโฟร์วีลอย่างอย่างเดียวเพื่อความปลอดภัย บางช่วงต้องใช้ความสามารถจริง
เพราะเจอรถสวนมาสองคันซ้อนในทางโค้ง
(ถนนบนดอยปกติแล้วจะไม่มีไหล่ทาง
บางช่วงก็พอดีสำหรับรถคันเดียว
บางที่กว้างพอรถสองคันสวนกันโดยระยะห่าง 5 เซนติเมตร)
เพราะฉะนั้นทุกคนต้องใช้ความสามารถกันเต็มที่กว่าจะหลุดมาได้ทำแหงื่อซึมเหมือนกัน)
สุดท้ายการเดินทางถึงที่หมายประมาณบ่ายโมง ทันทีที่ลงจากรถได้สัมผัสกับอากาศเย็นทันที นี่ขนาดกลางวัน คิดในใจว่ากลางคืนจะขนาดไหน
(เดี๋ยวก็รู้) เมื่อเก็บสัมภาะรเข้าที่แล้ว
ทานอาหารเที่ยง เสร็จจากอาหารเที่ยงผมและสมาชิกออกเยี่ยมตามบ้านคริสตชน
ที่นี่มีครอบครัวอยู่ประมาณ 40 ครอบครัว แต่มีคริสตชน 6 ครอบครัวเท่านั้นและพึ่งกลับใจมาได้ไม่นาน
การไปเยี่ยมตามบ้านมักจะเป็นส่วนหนึ่งของการไปหมู่บ้านเสมอ บางครั้งไม่ได้เยี่ยมเฉพาะบ้านคริสตชนเท่านั้น เยี่ยมบ้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คริสตชนด้วย หลังจากเยี่ยมชาวบ้านประมาณ 4 โมงเย็น
ก็เริ่มทยอยกับอาบน้ำ
เพราะก่อนหน้านั้นเราได้อาบฝุ่นมาตลอดทาง
แต่การจะอาบน้ำนี้ต้องคิดหนักหน่อย
เพราะน้ำที่จะอาบเย็นพอ ๆ กับน้ำที่แช่ตู้เย็นในเมืองทีเดียว
อย่างไรก็ตามจากการที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่าไหร่
เมื่อถึงเวลาเย็นการจัดเตรียมคริสตมาสพร้อมแล้ว
มีคนทยอยกันมามากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเห็นว่าตรงหน้าเวทีที่จัดงานมีคนจำนวนมาก
ตอนแรกผมคิดในใจว่ามีคริสตชนจำนวนมากที่มาร่วมงาน
แต่พอถามครูคำสอนท่านบอกว่าที่มาก่อนทั้งหลายนั้นไม่ใช่คริสตชนหรอกึครับ เป็นพี่น้องต่างศาสนาและคริสตเตียน ทั้งคนในหมู่บ้านและจากหมู่บ้านใกล้เคียง เพราะพี่น้องคริสตชนยังเก็บข้าวของในการรับแขกอยู่ เมื่อได้เวลาประมาณ 18.30 น.
ซึ่งเรากำหนดว่าเป็นเวลารับศีลอภัยบาป เมื่อมีคนต่างศาสนามาจำนวนมากตรงหน้าเวที ผมถามครูคำสอนว่าจะให้แก้บาปที่ไหน ท่านตอบว่าแก้บาปบนเวทีนั้นเลย จะได้เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่น ๆ ด้วย ผมไม่ขัดข้องจึงฟังแก้บาปบนเวทีต่อหน้าคนต่างศาสนาจำนวนมาก
ผมแอบคิดในใจว่าคริสตชนจะมาแก้บาปหรือเปล่า พวกเขาจะอายที่จะแก้บาปตรงนี้ไหม ถึงเวลาจริงคริสตชนทุกคนมาแก้บาป
บางคนแก้ไม่ค่อยคล่อง
เนื่องจากเป็นคริสตชนใหม่และอายุมากแล้วด้วย
ผมจึงต้องอธิบายแถมยังต้องชดเชยบาปพร้อมกับพวกเขาด้วย
เมื่อถึงเวลามิสซาบรรดาคริสตชนทั้งหลายก็มาอยู่ตรงกลาง ลักษณะเป็นไข่แดงท่ามกลางพี่น้องต่างศาสนา และที่น่าสังเกตคือ
แม้จะเป็นคนต่างศาสนาและมีจำนวนมากก็ตาม
ทุกคนเงียบและร่วมพิธีกรรมเสมือนหนึ่งว่าเป็นศาสนิกชนของศาสนานั้น คุณพ่อจีรภัทรเองก็เทศน์แบ่งปัน
ให้กำลังใจคริสตชนและส่งความสุขไปยังพี่น้องที่มาร่วมงานทุกท่านด้วย
มิสซาดำเนินต่อไปจนจบ จากนั้นก็เป็นกิจกรรมงานรื่นเริง
จากการที่คริสตชนมีจำนวนน้อยในท่ามกลางพี่น้องต่างศานา ผมคิดในใจว่ากิจกรรมคงจะมีไม่มาก แต่ผิดคาด เพราะทางโรงเรียนในหมู่บ้าน
ได้จัดเตรียมการแสดงจำนวนหลายชุด
แถมด้วยน้อง ๆ เยาวชนจากวัดแม่ฮ่องสอนอีกส่วนหนึ่ง พร้อมทั้งมีกิจกรรมการจัดสลากสลับกันไป
ยิ่งอยู่ดึกเท่าไหร่อากาศก็เริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเท่านั้น ทำเอาผมเองต้องจัดเต็มเลย ไม่ว่าถุงเท้า
ถุงมือ ผ้าพันคอ แถมด้วยผ้าโพกหัว แม้จะเป็นคริสตมาสเล็ก ๆ
แต่กว่าจะเลิกได้เกือบเที่ยงคืน
ในเช้าวันใหม่นั้น
ต่างกับเมื่อคืนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
เพราะในพิธีมิสซา เหลือแต่คริสตชนเท่านั้น
จากเมื่อคืนที่ทุกคนอยู่ที่ลานหน้าเวที เช้านี้ทุกคนขึ้นไปอยู่บนเวทีกันหมด นี่คือคริสตชนตัวจริงของเรา
ส่วนพี่น้องต่างศาสนานั้นก็ช่วยทำอาหารสำหรับเลี้ยงแขกมื้อเช้า หลังอาหารเช้า
ผมก็ออกเดินทางกลับไปที่วัดแม่ฮ่องสอน
แต่เปลี่ยนเส้นทางใหม่
ไปแวะเยี่ยมบ้านเยาวชนที่มากับเราในวันนั้น พอดีเป็นวันอาทิตย์เราเลยถือโอกาสสวดภาวนาเที่ยงด้วยกันที่หมู่บ้านนั้น หลังจากนั้นแยกย้ายกันกลับไปรายงานตัวกับคุณพ่อเจ้าวัดในสิ่งที่เราได้ทำ
ผมอยากจะสรุปเพียงว่า ความสุขในชีวิตในการรับใช้พระเจ้า บางครั้งไม่ได้อยู่ที่ความครบครันในสิ่งของต่าง
ๆ ที่เรามี เราพบ
แต่จากน้ำใจพี่น้องทั้งที่เป็นคริสตชนและไม่ใช่คริสตชนที่ร่วมมือกันในการสรรเสริญพระเจ้า ในแบบวิถีชีวิตที่เรีบง่าย คริสตมาสครั้งนี้ผมรู้สึกว่าเป็นการจัดคริสตมาสให้กับพี่น้องต่างศาสนามากกว่า เพราะดูเหมือนพวกเขาให้ความสนใจ
และร่วมมือ
ต้อนรับเสมือนเราเสมือนหนึ่งเราได้ไปจัดงานให้เขา ขอพระกุมารเจ้าทรงประทานแด่พวกเขาด้วยเทอญ